วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความเป็นมาและความสำคัญของน้ำมันปลา ตอนที่2

 

บทบาทของแอสไพรินในการลดการเกิดลิ่มเลือดนี้เองที่ทำให้นายแพทย์แบงและไดเออร์เบิร์ก (Bang and Dyerberg) เกิดความสนใจข้อมูลทางระบาดวิทยาใน ชาวเอสกิโมที่อาศัยอยู่ในเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งคนเหล่านี้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยมาก แต่กลับมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า สมมติฐานของแบงและ
ไดเออร์เบิร์กคือไขมันสัตว์ที่ชาวเอสกิโมใช้เป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นปลาทะเล วาฬ หรือแมวน้ำ มีสารบางชนิดที่ฤทธิ์คล้ายแอสไพริน สามารถลดการจับตัวกันของเกล็ดเลือดได้ ต่อมาได้พบว่าไขมันสัตว์เหล่านั้นมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณสูง
นอกจากการศึกษาทางระบาดวิทยาในกลุ่มชาวเอสกิโมเปรียบเทียบกับชาวเดนมาร์กแล้วยังมีการศึกษาจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ที่ให้ผลไปในทิศทางเดียวกันว่า การบริโภคปลาทะเลเป็นประจำรวมถึงการบริโภค น้ำมันปลา ส่งผลให้อุบัติการณ์การเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรกลุ่มต่างๆลดลง

ความเป็นมาและความสำคัญของน้ำมันปลา ตอนที่1

 

เรื่องราวของน้ำมันปลาในเชิงการแพทย์ยุคใหม่เริ่มต้นอย่างจริงจังในปี  ค.ศ.1971 เมื่อสมิธและวิลลิส
(Smith and Willis) และเวน (Vane) รายงานผลการวิจัยออกมาในเวลาใกล้เคียงกันพบว่ายาแอสไพริน
(Aspirin) ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglanlin) บางตัวซึ่งส่งผลให้การจับตัวเป็นลิ่มเลือดช้าลง ใน ค.ศ.1981 เวนและมอนคาดา (Vane and Moncada) รายงานผลเพิ่มเติมว่าแอสไพรินออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานเอนไซม์ไซโคลออกซีจีเนส (Cyclooxygenase) เป็นผลให้การสร้างพรอสตาไซคลิน (Prostcyclin) บางกลุ่มลดลง ผลที่ตามมาคือลื่มเลือดเกิดขึ้นน้อยลงซึ่งงานวิจัยดังกล่าวส่งผลให้นายแพทยจอห์น อาร์ เวน (John R. Vane) ได้รับรางวัลโนเบลใน ค.ศ.1982

มีต่อตอนที่ 2 นะครับ

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แหล่งที่มาของโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 แต่ละชนิด

ปลาทะเลและสัตว์ทะเล
โอเมก้า-3 ปริมาณสูง (อีพีเอ/ดีเอชเอ)
โอเมก้า-6 ปริมาณต่ำ
 
ไขมันสัตว์บกและสัตว์ปีก
โอเมก้า-3 ปริมาณต่ำ
โอเมก้า-6 ปริมาณสูง
 

น้ำมันพืช
โอเมก้า-3 ปริมาณต่ำ (เอแอลเอ)
โอเมก้า-6 ปริมาณสูง


วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

น้ำมันปลาแหล่งที่ดีที่สุดของกรดไขมันโอเมก้า-3 ตอนที่ 2

 
 น้ำมันปลาผ่านกระบวนการกลั่นและการสกัดยางออกจึงมีสภาพเป็นน้ำมันบริสุทธิ์ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นกรดไขมันไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของน้ำหนักมีทั้งกรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง กรดไขมันทั้งสามกลุ่มนี้พบในน้ำมันพืชและไขมันสัตว์บก เพียงแต่กรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงของน้ำมันพืชและไขมันสัตว์บกส่วนใหญ่เป็นชนิด โอเมก้า-6 (Omega-6) โดยพบกรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิดแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid) หรือ เอแอลเอ (ALA) บ้างในน้ำมันพืชบางชนิด ส่วนอีพีเอและดีเอชเอไม่พบในน้ำมันพืช ทั้งยังพบได้น้อยในไขมันจากสัตว์บกและสัตว์ปีกขณะที่ไขมันจากปลาทะเลและสัตว์ทะเลมีกรดไขมันโอเมก้า-6 ไม่มากนักแต่พบไขมันโอเมก้า-3 ในปริมาณที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีพีเอและดีเอชเอโดยอาจพบเอแอลเอบ้างเล็กน้อย

น้ำมันปลาแหล่งที่ดีที่สุดของกรดไขมันโอเมก้า-3 ตอนที่ 1


 

น้ำมันปลา (Fish Oil) คือ ไขมันชนิดหนึ่ง ซึ่งสกัดจากส่วนต่าง ๆ (ยกเว้นตับ) ของปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอล (Salmon) ทูน่า (Tuna) แมคเคอเรล (MacKerel) แมนฮาเดน (Manhaden) เทราท์ (Trout)
และ พอลล็อค (Pollock) สารอาหารสำคัญในน้ำมันปลาที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคือ กรดไขมันกลุ่ม
โอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงกลุ่มหนึ่ง กรดไขมันโอเมก้า-3 ที่พบมากในปลาทะเลมี 2 ชนิด ได้แก่ กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid) หรือ พีอีเอ และ กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid) หรือ ดีเอชเอ น้ำมันปลาที่ผ่านกระบวนการกลั่น (Refinery) และการสกัดยางออก (Degumming) จึงมีสภาพเป็นน้ำมันบริสุทธิ์หรือเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์บริสุทธิ์

เดี๋ยวมีต่อตอนหน้านะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทำไมต้องรับประทานปลาทะเล ? ตอนที่2

 


จากการรายงานการประชุมของผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (National Institute of Health, NIH) สรุปว่า ปัจจุบันคนอเมริกันบริโภค กรดไขมันโอเมก้า-3 ลดลงจนกระทั่งส่งผลให้ระดับ
กรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำนมของแม่คนอเมริกันลดลงกว่าในอดีตมากทำให้อุบัติการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น คำแนะนำของ NIH ให้ข้อสรุปว่าการบริโภค กรดไขมันโอเมก้า-3 ในรูปของอีพีเอ (EPA) และดีเอชเอ (DHA) ของคนปกติควรอยู่ในระดับ 650 มิลลิกรัมต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยกำหนดไว้ที่ 300 มิลลิกรัมต่อวัน ความเห็นนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมหัวใจอเมริกัน (American Heart Association) ที่เห็นว่าปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ในระดับ 300 มิลลิกรัมต่อวันนั้นต่ำเกินไป ถ้าต้องการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดควรบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-3 ในระดับ 750-900 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแนะนำให้บริโภคปลาทะเลที่มีไขมันสูงมากกว่าสัตว์ทะเลชนิดอื่นๆ

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทำไมต้องรับประทานปลาทะเล ? ตอนที่ 1


















หลายคนอาจสงสัยว่า เราจำเป็นต้องบริโภคปลาทะเลเพื่อให้ได้รับกรดไขมันโอมก้า-3 ทุกวันหรือไม่ คำแนะนำทั่วไปแม้มิได้กำหนดเช่นนั้นก็ตาม เนื่องจากคนในยุคปัจจุบันบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-6 เพิ่มสูงขึ้นจากน้ำมันพืช ส่งผลให้สดส่วนของ กรดไขมันโอเมก้า-3 กรดไขมันโอเมก้า-6 เกิดปัญหา ซึ่งถ้าร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า-6 ในปริมาณมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายคือ ทำให้เลือดมีความข้นหนืดมากขึ้นและอาจก่อให้เกิดลิ่มเลือดได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การบริโภคปลาทะเลเพื่อให้ได้รับ
กรดไขมันโอเมก้า-3 เพิ่มขึ้นเพื่อลดฤทธิ์จาก กรดไขมันโอเมก้า-6 ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่า

ยังมีตอนที่สองอีกหนึ่งตอนนะครับ ^_^